กฎหมายภาษี E-payment

ข่าวสารด้านบัญชีและภาษีอากร

ข่าวสารด้านบัญชีและภาษีอากร

         กรมสรรพกรได้มีหนังสือชี้แจงถึงเรื่องกฎหมายภาษี e-Payment โดยใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เสียภาษี และไม่ได้มุ่งเน้นกลุ่มขายของออนไลน์อย่างที่ประชาชนเข้าใจกัน
สำหรับใจความในหนังสือชี้แจงข้อสังเกตเกี่ยวกับร่าง พรบ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (e-Payment) มีดังนี้


“ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเห็นชอบเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561 นั้น มีวัตถุประสงค์หลักเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษี โดยเป็นการแก้ไขกฎหมายให้รองรับการทำธุรกรรมและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ การให้ผู้จ่ายเงินได้สามารถเลือกวิธีการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายผ่านตัวกลาง (เช่น ธนาคาร) โดยผู้จ่ายเงินได้ไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีและนำส่งภาษีให้แก่กรมสรรพากรในภายหลังอีก พร้อมทั้งสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี โดยมิได้มุ่งเน้นที่จะจัดเก็บภาษีจากผู้ขายสินค้าทางออนไลน์หรือธุรกิจหนึ่งธุรกิจใดเป็นการเฉพาะแต่อย่างใด


        ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ผ่านกระบวนการตรากฎหมายอย่างรอบคอบ โดยได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิของบุคคล การรักษาความเป็นส่วนตัว และการรักษา ความปลอดภัยของข้อมูลอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทั้งนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กำหนดให้นำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ และการจัดเก็บภาษีอากรมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยรายได้ให้รัฐนำไปใช้จัดบริการสาธารณะต่าง ๆ แก่ประชาชน การรายงานธุรกรรมที่มีลักษณะเฉพาะตามร่างพระราชบัญญัตินี้จึงเป็นการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้”


        การกำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งข้อมูลแก่กรมสรรพากรมิได้ขัดแย้งกับนโยบายสังคมไร้เงินสดของรัฐบาล เนื่องจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบันมีความสะดวกรวดเร็วและช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น และหากผู้ประกอบการมีประวัติทางการเงินที่ถูกต้องและโปร่งใส ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน และการขอสินเชื่อต่างๆ อันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการขึ้นไปอีก ทั้งนี้กรมสรรพากรทราบว่า การรับโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารนั้นมิได้หมายความว่าเงินจำนวนทั้งหมดต้องนำไปเสียภาษี เนื่องจากในหลายกรณีมิได้เป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี เช่น การคืนเงินกู้ยืม การรับเงินที่ฝากไปทำบุญแทน เป็นต้น โดยกรมสรรพากรจะนำข้อมูล ที่ได้รับไปประมวลผลร่วมกันกับข้อมูลอื่น ๆ เพื่อประกอบการจัดกลุ่มผู้เสียภาษีในการดูแลและให้บริการที่เหมาะสมต่อไป”


         โดยสามารถดูรายละเอียดในหนังสือคำชี้แจงเพิ่มเติมได้ที่ http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/news/news12_2562.pdf

ข้อมูลอ้างอิง : กรมสรรพสามิต www.rd.go.th